
การแบทเทิลในเกม Pokemon Sword and Shield เป็นการต่อสู้กับเหล่าเทรนเนอร์จากทั่วโลก ในสนาม Battle Stadium ผ่านระบบออนไลน์เพื่อชิงชัยเพื่อให้ได้อันดับ 1 มาครอง ทั้งนี้ในการจะเข้าร่วม Battle Stadium เพื่อนๆ จะต้องเป็นสมาชิก Nintendo Switch Online เสียก่อน
พื้นฐานการจัดทีมเบื้องต้น
- การจัดทีมสามารถจัดได้หลายรูปแบบมากมายและไม่ตายตัว
- ในช่วงแรกอาจจะลองหาทีมให้ครบ 6 ตัว แล้วค่อยๆ ลงเล่น และปรับตัวกันไปเรื่อยๆ จนทีมลงตัว
- เบื้องต้นสำหรับเริ่มทำแบทเทิลพื้นฐานควรมีตำแหน่ง Sweeper อย่างน้อย 2 ตัว อาจจะเป็น Physical หรือ Special อย่างละตัว เพื่อทำความสมดุลและพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ หรืออาจจะมีประเภทเดียวกันก็ได้แล้วแต่ความชอบ
- โดย 4 ตัวที่เหลืออาจจะนำตัวที่มาคอยป้องกัน Sweeper ของเรา อย่าง Tank หรือ Wall หรือตัวที่คอยสนับสนุน Sweeper ของเราก็ได้ที่เป็นสายอื่นๆ ที่มีสกิล Support
- การเลือกโปเกมอนช่วงเปิดนั้น จะสามารถเลือกได้หลากหลายตามสถานการณ์ ช่วงแรกๆ จะเปิดด้วย Sweeper ยืนคู่กับ Tank หรือ Wall ก่อนจนเริ่มมีประสบการณ์แล้วจึงเล่นพลิกแพลงแก้ไขการเลือกตัวและเล่นตามสถานการณ์
การจัดโปเกมอนเข้าร่วมทีมเป็นสิ่งที่ควรทำในการแบทเทิล เพราะผลการแพ้ชนะจะวัดกันตั้งแต่การวางแผน สแตทโปเกมอน การวางหน้าที่โปเกมอนรวมถึงการจัดลำดับก่อนหลัง ซึ่งสิ่งที่เทรนเนอร์ควรคำนวณก่อนจัดทีมทั้งหมดมีดังนี้

โปเกมอนแต่ละตัวจะมีค่าพลังที่ไม่เหมือนกัน โดยการดูค่าพลังนั้นจะบอกได้ว่าโปเกมอนของเรานั้นควรจะนำไปใช้เล่นในตำแหน่งอะไร จุดเด่นและจุดด้อยคืออะไร และหากโปเกมอนของเรามีการโจมตีหลักเด่นๆไปทางกายภาพหรือเวทย์ เพื่อให้เราสามารถเลือกท่าโจมตีได้เหมาะสมและแรงขึ้นด้วย โดยแบ่งเป็น
-
HP - ค่าเลือด
-
Attack - ค่าพลังโจมตีกายภาพ สังเกตจากสกิล โดยหากใช้ท่าที่เป็น Physical Move และมีค่าโจมตีกายภาพก็จำให้ท่าที่ออกนั้นรุนแรงขึ้นอีกด้วย
-
Defense - ค่าพลังป้องกันกายภาพ ซึ่งจะถูกนำมาคิดต่อเมื่อถูกโจมตีด้วยท่าทางกายภาพ
-
Special Attack (Sp.Atk) - ค่าพลังโจมตีเวทย์ โดยหากใช้ท่าที่เป็น Special Move และมีค่าโจมตีเวทย์มาก ก็จะทำให้ท่าที่ออกนั้นรุนแรงขึ้น
-
Special Defense (Sp.Def) - ค่าพลังป้องกันเวทย์ จะถูกนำมาคิดเมื่อถูกโจมตีด้วยท่าทางเวทย์
-
Speed - ค่าความเร็ว จะช่วยให้ท่าของโปเกมอนออกก่อนหากมีความเร็วที่มากกว่าตัวอื่นๆ ในสนาม

หลังจากเราดูค่าพลังแล้ว เราจะสามารถแบ่งหน้าที่หลักๆ ของโปเกมอน ได้ดังนี้
1. Sweeper (ตัวตีไว) เป็นโปเกมอนที่มีข้อดีในการโจมตีและความเร็ว ทำให้โปเกมอนมีโอกาสที่จะออกท่าการโจมตีก่อนและจัดการโปเกมอนฝั่งตรงข้ามในการโจมตีครั้งเดียว โดย Sweeper จะแบ่งออกไปได้เป็น


2. Tank (ตัวตีสายถึก) หน้าที่หลักๆ จะเป็นการโจมตีเหมือนกับ Sweeper แต่ว่ามีค่าความเร็วที่น้อยกว่าทำให้ไปเน้นที่การป้องกันเพื่อให้สามารถรับมือการโจมตีมากกว่าหนึ่งครั้งได้และทำการโจมตีสวนกลับจัดการโปเกมอนฝั่งตรงข้ามในครั้งเดียว Tank ก็จะแบ่งเป็นสองสายเช่นเดียวกับ Sweeper
- Physical Tank (Attack + Defense) ตัวอย่างเช่น Conkeldurr

- Special Tank (Sp.Atk + Sp.Def) ตัวอย่างเช่น Rotom Wash

3. Wall (Hp + Defense + Sp.def) โปเกมอนประเภทนี้จะมีหน้าที่รับการโจมตีทั้งหมดของตัวตีทำให้ตัวตีมีโอกาสอยู่รอดมากขึ้น อย่างเช่น Tyranitar
นอกจากหน้าที่หลักๆ ด้านบนแล้วยังมีหน้าที่พิเศษอีกมากมายเช่น Support ซึ่งจะไม่ได้เน้นไปที่ค่าพลังแต่จะเน้นไปในส่วนของท่าของโปเกมอนตัวนั้นในการสนับสนุนเพื่อนร่วมทีม หรือจะเป็นการทำทีม Trick room ที่จะเน้นโปเกมอนที่ค่าความเร็วต่ำมากๆ แต่มีพลังโจมตีที่รุนแรง หรือพลังป้องกันสูงๆ ทำให้ทีม Trick room ก็จะมีวิธีดูค่าพลังอีกแบบหนึ่ง

โปเกมอนแต่ละตัวจะมีความสามารถติดตัวโดยความสามารถของโปเกมอนนั้นช่วยทำให้เกิดความได้เปรียบ เป็นการเสริมจุดเด่นหรือลดข้อเสียของโปเกมอนไป
ยกตัวอย่างเช่น Sylveon ที่มี Ability ชื่อ Cute Charm ที่ ฝ่ายตรงข้ามมีโอกาส 30% ที่จะถูกทำให้หลงรัก เมื่อใช้การโจมตีที่ต้องมีการสัมผัสทางกายภาพกับโปเกมอนตัวนี้ ซึ่งก็อาจจะนำความสามารถนี้มาใช้ก็อาจจะทำได้ผลที่ต้องการลำบาก แต่หากนำ Hidden Ability ที่ชื่อ pixilate ท่าโจมตี Normal Type จะเปลี่ยนเป็นท่า Fairy Type และตีแรงขึ้น 20% ซึ่งจะทำให้ Sylveon ที่สามารถเรียนท่า Hyper Voice ที่เป็นท่าปกติที่แรง สามารถจัดการฝั่งตรงข้ามได้ในการโจมตีในครั้งเดียว

นิสัยเป็นสิ่งที่ทำให้ค่าพลังมีความเหมาะสมกับหน้าที่ของโปเกมอนตัวนั้นหากเป็นตัวโจมตีกายภาพ ก็อาจจะเลือกเป็น Adamant สำหรับเพิ่มค่าพลังโจมตีกายภาพและลดพลังโจมตีเวทย์ หรือจะเป็น Jolly เพื่อเพิ่มค่าความเร็วและลดพลังโจมตีเวทย์เพื่อให้โปเกมอนที่โอกาสที่ท่านั้นจะออกก่อน
โปเกมอนทุกตัวจะมี Move ที่แตกต่างกันและสามารถเรียนรู้ Move ท่าได้แตกต่าง โดยท่าต่างๆ นั้นก็สามารถบอกหน้าที่ที่เหมาะสมของโปเกมอนตัวนั้นได้ด้วย นอกจากนี้หากโปเกมอนตัวนั้นมีท่าที่สามารถเรียนรู้ได้เยอะก็จะมีความหลากหลายในเล่นหรือพลิกแพลงจากปกติทำให้ฝั่งตรงข้ามรับมือได้ยากมากขึ้น
ตัวอย่าง: Dragapult เป็นได้ทั้ง Physical Sweeper และ Special Sweeper

Physical Sweeper - จะสังเกตได้ว่าท่า Physical Move ใน Category ท่าที่ใส่มาก็จะเป็น Physical Move ทั้งหมด
- U-turn: ตีแล้วจะบังคับให้ Dragapult เปลี่ยนตัวออกทันที ท่านี้จะเอาไว้ใช้ในการสถานการณ์ฉุกเฉิน
- Dragon Dart กับ Dragon Rush เป็นท่ามังกร
- Phantom Force เป็นท่าผีซึ่งข้อดีของท่านี้ตอนที่ใช้ครั้งแรกจะหายไปจากสนามทำให้หลบการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามได้ก่อนจะโจมตี

Special Sweeper จะสังเกตว่าท่าส่วนใหญ่ใน Category จะเป็นประเภท Special Move
- ท่าที่ใส่หลักๆ จะเป็น Dragon Pulse, Shadow Ball และ Fire Blast ส่วนท่าที่สี่อาจจะเป็น Hydro Pump หรือ Thunderbolt ก็ได้

หากตัดสินใจเลือกโปเกมอนจากหัวข้อด้านบนได้เรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้จะต้องเลือก IV และ EV แบบไหน โดยในค่า IV หากได้ 6 IV จะเป็นสิ่งที่ดีมาก (คือมีค่า IV ที่มีสถานะว่า Amazing Stats ครบทั้ง 6 ค่า) แต่หากไม่ได้ก็ยังมีบรีดโปเกมอน 5 IV ได้โดยอาจจะเลือกตัด IV ในเป็นส่วนการโจมตีที่ไม่ได้สูงไป เช่น สายโจมตีแบบ Physical ก็ไม่จำเป็นจะต้องบรีดให้ได้ IV ของ Sp.Atk ก็ได้

นอกจากนี้หากอยากเล่นทีมช้า หรือ Trick Room สิ่งสำคัญจริงๆ ของการบรีดนั้นจำเป็นจะต้องบรีดให้ค่าความเร็วเป็น No Good เพื่อให้มีค่าความเร็วที่น้อยมากๆ และหากใช้ Trick Room ก็จะทำให้โปเกมอนมีโอกาสที่จะออกท่าก่อน

หลังจากเตรียมทุกอย่างเสร็จแล้ว สิ่งสุดท้ายที่จะทำคือการเพิ่ม EV โดยหลักๆ จะเพิ่มค่าที่เน้นตามหน้าที่ของโปเกมอน เช่น Special Sweeper จะเพิ่มค่า EV ที่ Sp.Atk และ Speed ให้เต็ม
ความคิดเห็นของทุกคน